รีวิวประสบการณ์ทำงานด้าน Blockchain ที่ Ascend Bit Company

Phattararak Dhuamreongrom
3 min readApr 12, 2023

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ใครๆก็พูดถึง Blockchain Technology เต็มไปหมด ตัวผมเองส่วนใหญ่คลุกคลีกับ Project ที่เป็น Payment หรือไม่ก็งานธนาคารมากกว่า แต่คำว่า Blockchain ก็วนเวียนผ่านเข้าหูมาตลอดเวลา ตั้งแต่สมัยทำงานในธนาคาร ก็เริ่มมี use case ในการใช้ Blockchain ทำ Remittance Transfer แล้ว

ในครั้งนี้เราก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานเป็นพนักงานประจำในบริษัท Ascend Bit ที่อยู่ในเครือ Ascend Group โดยมุ่งเน้นไปด้าน Blockchain Solution โดยเฉพาะ โดยเราเองก็คาดหวังในเรื่องความรู้ใหม่ๆเป็นหลัก รวมถึงการเป็นคนกลุ่มแรกๆที่จะพัฒนาบริษัทนี้และเติบโตไปพร้อมกัน

We are Ascend Bit Company (abc)

เหตุผลหลักที่เราตอบรับข้อเสนอในการที่เข้ามาทำบริษัทหน้าใหม่นี้ก็คือ เราอยากมีโอกาสในการคิดและวางรากฐานของบริษัทที่เราทำงานอยู่ รวมถึงเรามองเห็นว่าในการที่ได้เป็นคน setup มาตรฐานด้าน Project Management มันหาโอกาสจากที่อื่นได้ยาก การที่เรามีคนน้อยๆ เราอาจจะสามารถปรับจูน mindset ต่างๆได้คล่องตัวกว่าการเข้าไปทำงานในที่ที่มีระบบระเบียบอยู่แล้ว (จากประสบการณ์ที่ทำงานมาหลายๆที่ ระบบที่เขาวาง มักทำให้การบริหารงานโครงการมีความซับซ้อนและยุ่งยาก)

อีกประการคือ เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Technology Blockchain มากขึ้น เป็น area ที่ความรู้เรายังน้อย เพราะที่แน่ๆ คือมันไม่ได้มีแต่เรื่อง Crypto Currency เท่านั้น

Ascend Bit Team

ตอนนี้ผมทำงานมาที่นี่ครบ 1 ปีแล้ว เลยอยากจะมาแชร์ว่าตั้งแต่เข้ามาเป็นอย่างไรบ้าง เจอปัญหาอุปสรรคอะไร และผ่านมันมาได้อย่างไร

บทความนี้ไม่ใช่ Advertorial เพราะบริษัทไม่ได้จ้างผมมาเขียน Content เพราะฉะนั้นผมจะไม่ได้พูดถึงว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี มันจะเป็นอารมณ์สะท้อนว่าผมเจออะไร และจัดการกับมันได้อย่างไรเสียมากกว่า

Phase 1: ปรับตัว ตั้งสติ และอดทน

แน่นอนว่าการเข้าไปเป็น New Member นั้น การปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามันจะไปต่อได้ 3–4 เดือนแรกนี่แหละเป็นตัวชี้วัดของคนสมัยนี้ เราอาจจะพบเจอเด็กๆรุ่นใหม่บางคนที่มาทำไม่กี่เดือนก็ลาออกแล้ว และก็ได้แต่พูดว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความอดทน แต่ผมมองกลับกันว่า ถ้าเขาอยู่ในที่นั้นแล้วมันไม่เป็นตัวของตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ การที่เขารู้ตัวได้เร็วเป็นผลดีกับเขาและบริษัทเอง

อย่างตัวผมเองที่เคยทำงานที่บริษัท IT ของธนาคารแห่งหนึ่ง ก็ทำเพียง 6 เดือน เพราะเราก็รู้ตัวเองตั้งแต่ 3–4 เดือนแรกแล้วว่าการทำงานแบบนี้มันไม่ใช่เรา หรือไม่ได้ใช้ศักยภาพของเราเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่เราได้ อันที่จริงเราจะทนอยู่รับเงินเดือนสบายๆก็ได้ แต่ผมว่า เราทำงาน Project เราไม่สนุก เราไม่ buy-in มันทำให้ห่อเหี่ยวมาก

สำหรับ Ascend Bit ช่วง 4 เดือนแรก ก็ต้องบอกตรงๆว่าผมท้อมากเหมือนกัน ด้วยความว่าทุกอย่างเป็นความรู้ใหม่ ระบบ Infra ที่ซับซ้อน และเยอะมาก ซึ่งผมเข้าใจเอาเองว่าการวาง Infra ขนาดนี้ คงเผื่อ scale ละมั้ง? (ฮ่าๆ) หรือแม้กระทั่งงานที่กดดัน ทำอะไรออกไปก็เหมือนจะยังไม่ใช่ยังไม่โดนไปเสียหมด

Mickey Mouse ของพวกเรา

นอกจากนี้การปรับจูน Expectation ระหว่างเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานก็ดูเหมือนจะมีปัญหาไปหมด ไอ้ที่คิดมาว่าโอ้มันน่าจะง่าย ปรากฎว่าไม่ง่ายเลย นอกจากนี้ project ที่เราต้องเข้าไปทำก็เป็นการรับช่วงต่อจาก Vendor มาอีกที ซึ่งก็มีแต่ปัญหาที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเต็มไปหมด

อย่างไรก็ตามก็ต้องขอบคุณตัวเองเหมือนกันที่อดทน และค่อยๆทำความเข้าใจ แก้ไขปัญหาไปทีละส่วน ถึงมันจะช้าหน่อย แต่ก็มีประสิทธิภาพและยั่งยืนขึ้น

Phase 2: ถ่ายทอดพลัง

หลังจากเอา project เข้ามาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว ถัดไปก็คือการจัดการกับ Working Team ทำยังไงให้มันกลายเป็นทีมเดียวกัน มีกำแพงให้น้อยที่สุด และสร้าง Scrum Team ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ

“รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง” ยังคงใช้ได้เสมอ ผมสร้าง environment ขึ้นมาเพื่อให้ทีมรู้จักตัวตนกันและกันมากขึ้นผ่านกิจกรรม ซึ่งต้องบอกว่า มันก็ยากมากนะ เพราะเราไม่เจอหน้ากัน และกิจกรรมต้องทำผ่าน Virtual

ผมพยายาม Assessment ข้อมูลของคนในทีมให้เรารู้จักเขามากขึ้น ไม่ใช่ในแง่การทำงาน แต่เป็นแง่พฤติกรรม สิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาไม่ชอบ เขาเป็นคนยังไง ชอบกินอะไร กินอะไรไม่ได้ ชอบเที่ยวที่ไหน เล่นกีฬาไหม ยามว่างชอบทำอะไร … ดูเหมือนไร้สาระ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้จักเขามากขึ้น และเราก็รู้ว่าจะซื้อใจเขาได้อย่างไร

อย่างไรก็ตามหลัง Covid-19 บรรเทาลง เราก็ได้นัดมาเจอกัน เช่น หลังจาก Go live ผมก็จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการพาไปฉลองให้กับความสำเร็จ เพราะผมเชื่อว่า Project ทำคนเดียวมันไม่สำเร็จหรอก ดังนั้นไม่ว่าความสำเร็จจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ดื่มด่ำให้กับมัน แล้วกลับไปทำงานต่อ

Release version ใหม่สำเร็จ ก็ต้องฉลองกันสักหน่อย

ตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนถัดมา ผมจะพยายามเสริมพลังบวกให้กับทีม เราเจออะไรแย่ๆมาก็จะพยายามกั้นเอาไว้ เพราะเป้าหมายผมคือการสร้าง Scrum Team จากใน Guide Book ให้เป็นจริงให้ได้ และผมคิดว่าผมทำได้ดีเลยล่ะ ถ้าดูจากการที่ Team สามารถ Self-Organize ได้ และ Deliver งานได้มากกว่าที่ทำไม่เสร็จ

Phase 3: ความไม่แน่นอน และปัญหาที่ต้องเผชิญ

ถึงแม้ว่าในกระบวนการผลิตซับซ้อนเพียงใด หรือมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้น มันก็ Just Issue ที่เกิดขึ้น และถ้าเราแก้ไขเสร็จก็คือจบ

แต่ความท้าทายมันก็ไม่ได้อยู่แค่ในทีมที่เรา manage อย่างเดียว แต่กลับเป็นจากปัจจัยภายนอก เช่น จะทำอย่างไรให้บริษัทสร้างผลประกอบการ, จะทำอย่างไรที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้, การบริหารทรัพยากรที่มีและใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวขาวๆนั่นผมเอง
หัวขาวๆนั่นผมเอง Sprint Planning อย่างตึง

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ตัวผมเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ก่อนหน้านี้เราอาจจะคิดว่า ทำไมล่ะ เรา deliver งานออกมา ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย … ใช่แล้ว มันไม่มีปัญหาเลย แต่พอมันมีเรื่องต่างๆในองค์กรมาผนวก กลับกลายเป็น EEF (Enterprise Environment Factor) ที่คอยรบกวนและขัดขวางการทำงานอยู่ตลอดเวลา

ความขัดแย้งในเรื่องความเห็นต่างๆ ก็มีให้เห็นอยู่ตลอด และทำให้เราไม่สบายใจนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้มันยังหาจุดตรงกลางได้ สิ่งสำคัญคือ เราอาจจะต้องใจเย็นลง ค่อยๆฟังเหตุและผลของสิ่งต่างๆ แล้วร่วมกันตัดสินใจเป็นทีม

และเมื่อปัญหามันเกิด มันก็คงไม่มีอะไรมากกว่าการที่เราต้องแก้ไข และปรับตัวอีกครั้ง พอมันเกิดอะไรทำนองนี้ซ้ำๆ เราก็จะเริ่มบอกได้ว่า อ๋อ Just another issue. Just fix it.

บทสรุป

ผ่านมา 1 ปี กับการเป็นผู้บุกเบิกในบริษัท Ascend Bit ทั้ง 3 Phase ที่ผมสัมผัสมา บางคนอ่านแล้วอาจจะแอบกลัว หรือบางคนอาจจะมองเป็นความท้าทาย อันนี้ก็แล้วแต่ผู้อ่านจะพิจารณา

ใน 1 ปี ที่ผ่านมาเรียกว่า สำหรับผมนั้นได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา โครงการที่ทำก็มีหลากหลายเช่น Supply Chain Finance, Supply Chain Traceability, PDPA, Loyalty and Rewards และ Use case อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain

สำหรับผมตอนนี้ ผมยังมีอะไรหลายอย่างเลยที่อยากทำ ที่ไม่ได้จำกัดแค่การบริหารโครงการ แต่ยังอยากทำให้มุมอื่นให้กับองค์กร ซึ่งผมเองก็ยังไม่ถึงจุดนั้นนะ อาจจะเพราะด้วยจำนวนคนที่มีอยู่จำกัด มันทำให้ตัวผมเองหมดเวลาไปกับการ manage project เป็นหลัก ซึ่งจริงๆผมก็วางแผนไว้ว่าจะเป็นปีนี้แหละ ที่เริ่มจะขยับไปที่ Area อื่นๆของ project management ที่เรายังไม่ได้วางรากฐานมากขึ้น

นอกจากนี้ก็ยังมีงาน Coaching น้องในทีม ให้ก้าวเข้ามาเป็น Project Manager ได้เต็มตัว ซึ่งผมคิดว่ามันใกล้จะสำเร็จแล้ว น้องสามารถเป็นที่พึ่งได้มากขึ้นและสามารถบริหารงานโครงการได้ดีขึ้นตามลำดับ

โชคดีอย่างนึงเลยคือเพื่อนร่วมงานที่นี่ก็เป็นงานมาพอสมควรแล้ว ดังนั้นในแง่เทคนิคของแต่ role นั้นวางใจได้ โดยที่เราไม่ต้องมานั่งปวดหัวมากนัก ฝั่ง Developers เองก็ Deliver งานได้ดี เมื่อมีปัญหาก็ร่วมกันแก้ปัญหากันทุกฝ่าย

Developers Pairing Code กันใหญ่
Bug ซ่อนอยู่ไหน QA หาเจอหมด

เขียนมาถึงตรงนี้ผมยังไม่ได้พูดถึง Facilities ต่างๆของบริษัทเลย เอาจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก เพราะหลายบริษัทพยายามจะโฆษณา Office สวยๆ น่าทำงาน แต่พอเข้ามาทำจริงๆ “หากมันไม่ใช่สำหรับคุณ… Office สวยๆจะมีไปเพื่ออะไร?”

แต่ก็จะโพสรูปไว้ละกัน เพราะไม่รู้จะเอาภาพอะไรมาใส่ ฮ่าๆ

Share Space ที่เลือกทำงานได้ทุกที่ นั่งเล่น ทานข้าว นั่งประชุม ตีสนุ๊ก เล่นเกม ก็ได้หมด

สุดท้ายนี้ คงไม่ได้มาเชิญชวนผู้อ่านให้เข้ามาร่วมงานแต่อย่างใด เพราะบอกแล้วว่ามันคือรีวิวของตัวเอง …. ผู้อ่านล่ะคิดว่าอย่างไร? รับความท้าทายได้ไหม?

แต่สิ่งที่บอกได้อย่างนึงคือ ถ้าคิดว่าจะทำงานชิวๆ เรื่อยๆเปื่อยๆ ที่นี่ไม่น่าจะเหมาะกับคุณแน่ๆ ฮ่าๆ 🤣

--

--

Phattararak Dhuamreongrom

Project Manager (PMP #2793547), Scrum Master (PSM I #740163), Product Owner (PSPO I #955684)